ทีมจากแดนนาฬิกาเข้าแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งที่ 12 แล้ว ส่วนผลงานที่ดีที่สุดคือการเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายแต่ก็ต้องย้อนไปถึงปี 1954 นั่นคือครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ ในครั้งนี้พวกเขามี มูรัต ยาคิน อดีตปราการหลังทีมชาติที่ผันตัวมารับงานคุมทีมบ้านเกิดลุยศึกฟุตบอลโลก ส่วนนักเตะที่จะเป็นตัวหลักในครั้งนี้จะมี ยานน์ ซอมเมอร์ นายทวารจากมึนเช่นกลัดบัค และปราการหลังอย่าง มานูเอล อคานยี ที่เพิ่งย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แดนกลางมี กรานิต ชาก้า กัปตันทีมคอยบัญชาเกมแดนกลางส่วนแดนหน้ามี แฮริส เซเฟโรวิช แม้ว่าผลงานในฟุตบอลโลกสองครั้งหลังพวกเขาถือว่าใช้ได้เพราะเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่วนฟุตบอลยูโรที่เพิ่งจบไปก็เข้าไปลึกถึงรอบ 8 ทีมเพราะฉะนั้น การไปถึงรอบสองน่าจะเป็นเป้าหมายขั้นต่ำของพวกเขา

ทีมชาติเซอร์เบียเข้าแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 12 ของพวกเขา ผลงานที่ดีที่สุดที่เคยทำได้คือการคว้าอันดับที่ 4 แต่ต้องย้อนไปนานถึงปี  1930 และ 1962 ตั้งแต่ยังใช้ชื่อ ยูโกสลาเวีย ส่วนยุคหลังๆที่แยกประเทศและมาใช้ชื่อเซอร์เบียพวกเขาแค่ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายได้เท่านั้น และไม่ได้ไปไกลกว่านั้น และมีครั้งที่ไม่ได้ไปก็มี เรียกว่าสมัยเว้นสมัย มาครั้งนี้พวกเขามีกุนซืออย่าง ดราแกน สตอยโควิช ที่จะคุมทีมบ้านเกิดพร้อมกับตัวชูโรงอย่าง ดูซาน ทาร์ดิช จอมทัพจากอาแจ็กซ์ที่จะคอยปั้นเกมแดนกลางและมีหัวหอกร่างยักษ์อย่าง อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ที่ยิงระเบิดกับฟูแล่มและยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติเป็นความหวังในแดนหน้าของพวกเขาซึ่งเป้าหมายอย่างน้อยคือผ่านเข้ารอบที่สองให้ได้

ทีมเดียในโลกที่ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครบทั้ง 22 สมัยแถมพ่วงดีกรีแชมป์โลก 5 สมัยมากที่สุดในโลก แต่การคว้าแชมป์โลกครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปถึงปี 2002 ที่ประเทศเกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ หลังจากนั้นพวกเขาจอดป้ายแค่รอบ 8 ซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนครั้งที่เป็นเจ้าภาพได้แค่อันดับที่ 4 เท่านั้นแถมยังมีเกมที่อยากจะลืมคือนัดที่โดนเยอรมันถล่มเละ 7-1 ในครั้งนี้พวกเขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะมาทวงแชมป์โลกสมัยที่ 6 โดยมีกุนซืออย่าง ติเต้  คุมทัพพร้อมกับผู้เล่นในชุดที่พร้อมชนทุกทีมนำทัพโดย อลิซง เบคเกอร์ นายทวารจากลิเวอร์พูล แถมมี เอแดร์ซอน จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คอยแย่งตำแหน่งอีกคน แนวรับมีผู้เล่นอย่าง กาเบรียล มากัลเญส จากอาร์เซน่อล แดนกลางมี คาเซมิโร่ และ เฟร็ด จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แนวรุกความหวังอยู่ที่ เนย์มาร์ และขาลุยอย่างริชาร์ลิสัน และเป้าหมายอย่างเดียวของพวกเขาซึ่งถ้าทำไม่ได้ถือว่าล้มเหลวคือคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 6 มาครองให้ได้เท่านั้น

หลังจากเข้าร่วมฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี 1998 หลังแยกตัวจากยูโกสลาเวียและสามารถเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแถมคว้าที่ 3 ได้ทันทีหลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถผ่านเข้ารอบสองจนกระทั่งคว้ารองแชมป์โลกเมื่อปี 2018 ที่รัสเซีย ฟุตบอลโลกครั้งนี้คือครั้งที่ 6 ของทีมตราหมากรุกที่นักเตะแทบจะไม่ได้เปลี่ยนจากชุดรองแชมป์โลกครั้งที่แล้วไปมากนัก นำทัพโดย  โดมาโกจ์ วิด้า ปราการหลังจอมแกร่ง และแดนกลางยังคงมี ลูก้า โมดริช เป็นคนคุมจังหวะในแดนกลางร่วมกับ อิวาน เปริซิช ส่วนกองหน้ามี อันเดรย์ กรามาริช เป็นตัวความหวัง โดยมีกุนซืออย่าง ซลัตโก ดาลิตช์ คนดีคนเดิมที่เกือบพาทีมเป็นแชมป์โลกมาแก้มืออีกครั้ง 

ฟุตบอลโลกคร้ังนี้จะเป็นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งที่ 6 ของทีมชาติโมร็อกโกและผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกคือการเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อปี 1986 และในครั้งนี้พวกเขาใช้บริการโค้ชคนในชาติอย่าง วาลิด เรกรากุย อดีตกองหลังทีมชาติวัย 47 ปี คุมทัพโดยมีดาวเตะที่น่าจับตามองอย่าง นูส์แซร์ มาซราอูย ปราการหลังจาก บาเยิร์น มิวนิค และ อัชราฟ ฮาคิมี่ ที่เล่นกับเปแอสเช ส่วนแนวรุก ฮาคิม ซีเย็ค จากเชลซีที่ได้กลับมาเล่นให้ทีมชาติอีกครั้งหลังจากที่เคลียร์ปัญหาลงตัวและจะเป็นตัวความหวังในฟุตบอลโลกครั้งนี้ของโมร็อกโกแน่นอน แม้ว่าผลงานก่อนๆจะไม่ค่อยดี แต่เมื่อดูขุนพลในมือพวกเขาถือว่าพอจะสู้กับเพื่อนร่วมทีมได้ทุกทีม